"เหนื่อยไหมลูก" ทันที่ที่ฟังจบประโยค น้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดระยะทางกลับบ้านก็ไหลพร่างพรู ดูราวกับเด็กน้อยขี้แย
ยิ่งยามที่มือนั้นค่อย ๆ บรรจงลูบสัมผัสศีรษะน้อยๆ (ที่มีแต่เศษขี้เลื่อย) ไปมา นั่นยิ่งทำให้กำแพงน้ำตาพังทลายหมดสิ้น
กว่าสามปีแล้วที่พ่อจากไปอย่างนิรันดร์ ฉันพยายามทำตัวและใจให้เข้มแข็ง แม้ที่จริงแล้ว ฉันนี่แหละอ่อนไหวที่สุดในบ้าน
"ขอโทษ" ฉันกล่าวคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่น้ำตาก็ยังไม่ยอมหยุดไหล..ขอโทษกับความไม่เอาไหนที่มีมาตั้งแต่เล็กจนโต
แม่บีบมือแน่น บอกแต่เพียงว่า อย่าคิดอะไร ที่ ๆ อยู่แล้วไม่สบายใจก็ควรเดินก้าวออกมา
ทั้ง
ๆ ที่ลึกเข้าไปในดวงตาโรยราคู่นั้น
จะแฝงความกังวลในอนาคตของฉันอยู่ไม่น้อย
แต่น้ำเสียงอันอ่อนโยนเจือความเข้าใจนั้น
กลับมีอานุภาพหลอมละลายก้อนความทุกข์ให้ทุเลาเบาบางลงได้
ใครบางคนอาจเดินข้ามผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นมานานพอดูแล้วเฉกเช่นฉัน หากลองมองย้อนกลับไป เราต่างก็เคยมีช่วงวัยที่เสาะแสวงหา ความรัก ความเข้าใจ จากผู้คนแปลกหน้า
ไม่ผิดอะไร เพราะนั่นเป็นวิถีแห่งปุถุชนคนธรรมดา
แหละ
ฉันเองก็เช่นกัน..ในโมงยามที่ต้องเดินฝ่าความมืดมิดเพียงลำพัง
พยายามไขว่คว้าหามือใครสักคนร่วมเดินเคียงกัน กลับพบเพียงความว่างเปล่า
จนเกือบจะหยุดเดินต่อ ถ้าไม่มีสองมือที่เคยคุ้น
และแววตาอันอบอุ่นช่วยประคับประคองไว้ทัน
กับวันนี้ วันที่เหลียวซ้ายแลขวาก็ยังมองไม่เห็นทางออก แต่ความกลัวที่จะไปต่อ ไม่มีอีกแล้ว..
ขอบคุณสองมือธรรมดา กับดวงตาอันอ่อนโยนคู่นั้น..
ขอบคุณค่ะแม่ สัญญาว่าจะเข้มแข็งขึ้นค่ะ สัญญา
ขอบคุณ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=236985
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=236985
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น